
การปรับกลยุทธ์ของธุรกิจปั๊มน้ำมันจากที่เน้นธุรกิจใดธุรกิจ
หนึ่ง (Concentration on a Single Business) ได้เคลื่อนตัว
มาสู่กลยุทธ์แบบกระจายธุรกิจ (Diversification) ด้วยการ
ผสมสานระหว่างน้ำมัน (oil) และนอกเหนือจากน้ำมัน
(Non-oil) กำลังเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อ
รักษาฐานรายได้ในธุรกิจปั๊มน้ำมันมากขึ้น
สำหรับสาระสำคัญของการปรับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ
ครั้งใหญ่ในตลาดปั๊มน้ำมันนั้นปัจจัยหลักมาจากราคา
น้ำมันที่ลดลงและมีแนวโน้มจะลงต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี
จากนี้ ทั้งนี้ในปี 2558-2559 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่
คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบโลกจะลดลงกว่า 50 % จาก
ราคาสูงสุดในปีที่ผ่านมา ซึ่งแน่อนนว่าย่อมจะส่งผล
กระทบทางลบต่อผลกําไรของกลุ่มธุรกิจพลังงาน
ทั้งนี้จะเห็นได้ชัดจากกรณีของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ซึ่งในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 19,936.41 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวลดลง
38,742 ล้านบาท เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี
กำไรสุทธิ 58,677.75 ล้านบาทแม้ว่าปริมาณการขายโดย
รวมยังเติบโตต่อเนื่อง
ทว่าราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ปรับลดลงอย่างมากตาม
ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ลดลงถึง 47.3% เมื่อเทียบกับปี
ก่อน ส่งผลให้ทุกกลุ่มธุรกิจมีรายได้จากการขายลดลง ซึ่งน่า
จะเป็นการดิ่งลงของกำไรครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของ
ปตท.
ดังนั้นกระบวนการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจปั๊มน้ำมันจึง
ถูกนำมาขับเคลื่นในเชิงรุกมากขึ้นตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่าน
มาและไม่เพียงแต่ปตท.เท่านั้นแต่หลายแบรนด์เริ่มวาง
แผนเพื่อปรับกลยุทธ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น โดย
ทุกแบรนด์ต่างมองไปในทิศทางเดียวกันคือ การเพิ่มพื้นที่
ค้าปลีกในปั๊มน้ำมัน โดย 3 ส่วนสำคัญที่ทุกปั๊มต่างเร่ง
พัฒนาอย่างหนักในขณะนี้คือ ร้านสะดวกซื้อ,ร้านอาหาร
และร้านกาแฟ ซึ่งทั้งหมดเป็นโมเดลที่ปตท.นำร่องมา
พักใหญ่และปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะอัตราส่วน
ของผลกำไรขณะนี้สูงกว่าการค้าน้ำมัน
โดยปัจจุบัน non-oil สามารถทำกำไรให้ธุรกิจปั๊มน้ำมัน
ได้ถึง 20% ดังนั้นการผสมผสานธุรกิจระหว่าง oil และ
non-oil ที่ขณะนี้ทุกแบรนด์ต่างประกาศแนวรุกที่ชัดเจน
ขึ้นแล้วนั้น น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จับตามอง
อย่างยิ่ง
สนับสนุนโดย
นิตยสารแมกเก็ตติ้ง (Magketing)

สามารถดาวน์โหลดนิตยสารฉบับเต็ม...ฟรี...ได้ที่http://www.ebooks.in.th/ebook/39386/magketing_vol14/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น