ตามรอยโมเดลร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความลงตัวของโมเดลระหว่างปตท.และ
เซเว่นอีเลฟเว่นได้กลายเป็นต้นแบบของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
ในปั๊มน้ำมัน
ซึ่งบางกรณีเป็นการซื้อแฟรนไชส์ อาทิ กรณีปั๊มบางจากกับ
มินิบิ๊กซี โดยเบื้องต้นเป็น “ความตกลงร่วมมือทางธุรกิจ
ระยะยาวแบบ Exclusive Partner ทั้งนี้จะครอบคลุมถึงการ
ขยายความร่วมมือด้านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกัน
เช่น การให้สิทธิพิเศษร่วมระหว่างบัตรสมาชิกของบิ๊กซี
และบัตรแก๊สโซฮอล์คลับ และดีเซลคลับของบางจาก
สำหรับมินิบิ๊กซีที่ให้บริการในปั๊มบางจากจะแตกต่างจาก
เซเว่น อีเลฟเว่น เพราะวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็น
มินิซูเปอร์มาร์เก็ต กล่าวคือนอกจากอาหาร เครื่องดื่ม
สินค้าอุปโภคบริโภคแล้วยังจำหน่าย อาหารสด และอาหาร
ปรุงสุก รวมกว่า 4,200 รายการ รวมถึงกกิจกรรมโปรโมชั่น
ที่จำหน่ายในราคาถูกเช่นเดียวกับบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์
ด้วย นอกจากนั้น ยังมีบริหารหลากหลายไว้อำนวยความ
สะดวกให้ลูกค้า อาทิ การชำระบิลและการเติมเงินค่า
โทรศัพท์
สำหรับจำนวนสาขาบิ๊กซีมินิ ในปั๊มน้ำมันบางจาก ณ
สิ้นปี 2558 มี 154 สาขา คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของ
จำนวนปั๊มบางจากทั้งหมดหรือประมาณ 300 แห่ง และ
จะขยายเพิ่มไม่ต่ำกว่าให้เป็น 160 แห่งในปี2559 ซึ่งการ
เปิดมินิบิ๊กซีต้องพิจารณาจากทำเลและขนาดพื้นที่
เหมาะสม ขณะเดียวกันปั๊มบางจากทำการสร้างแบรนด์
ร้านสะดวกซื้อขึ้นมาภายใต้แบรนด์ ใบจากขึ้นมาเพื่อ
แทรกเข้าสู่ทำเลรอง
ขณะที่ปั๊มน้ำมันเอสโซ่ ร่วมกับบริษัท บริษัท เอก-ชัย
ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด นำโมเดล เทสโก้ โลตัส
เอ็กซ์เพรส รุกเข้าสู่พื้นที่ปั๊มน้ำมัน โดยให้บริการในรูปแบบ
มินิซูเปอร์มาร์เก็ต โดยมีอาหารพร้อมปรุงไว้บริการ ขณะที่
จุดแข็งยังคงชูเรื่องราคาที่ถูกกว่าคอนวีเนียนสโตร์แบรนด์
อื่น โดย
ขณะนี้เทสโก้ โลตัส ในปั๊มเอสโซ่มีจำนวน สัดส่วนประมาณ
กว่า 100 สาขาจากจำนวนปั๊มเอสโซ่กว่า 500 สาขา โดย
มีแผนที่จะขยายสาขาเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส ให้มากขึ้น
โดยเน้นพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เป็นหลัก
นอกจากนี้เอสโซ่ได้พิจารณาที่จะเป็นพันธมิตรร่วมกับ
ร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทและลอว์สันเข้ามาเพิ่มในสาขา
ที่พิจารณาเบื้องต้นว่าเหมาะสม ส่วนไทเกอร์มาร์ทจะ
ทยอยลดบทบาทลงเนื่องจากเอสโซ่ไม่ถนัดในธุรกิจค้าปลีก
และต้องการให้พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่าเป็น
ผู้ดำเนินการ
ขณะที่คาลเท็กซ์ ทำการเป็นพันธมิตรกับบริษัท ซีอาร์ซี
เพาเวอร์ รีเทล จำกัด เริ่มจากการนำท็อปเดลี่เข้าไปยึดพื้นที่
ของปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ในรูปแบบร้านเป็นมินิซูเปอร์มาร์เก็ต
งบลงทุนประมาณ 3-3.5 ล้านต่อสาขา บนพื้นที่ 150 ตาราง
เมตรจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 2,500 รายการ
หลายหมวดหมู่ เช่น ผัก ผลไม้ อาหารสด อาหารพร้อมปรุง
สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส และ
บริการอีเพย์ เติมเงินโทรศัพท์มือถือ
เพราะท็อปส์เดลี่ ไม่ได้จำกัดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะลูกค้าที่
เข้ามาใช้บริการเติมน้ำมัน แต่มองไปถึงกลุ่มผู้อยู่อาศัยใน
พื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งมีทั้งครอบครัว แม่บ้าน และออฟฟิศ
สำนักงาน ต่อมาซีอาร์ซีปรับรูปแบบด้วยการท็อปส์เดลี่เปิด
ในปั๊มคาลเท็กซ์ต้องมีพี้นที่มากกว่า 250 ตารางเมตรขึ้นไป
ส่วนปั๊มที่มีพื้นที่น้อยกว่านั้นจะเปิดเป็นแฟมิลี่มาร์ท
ส่วนเชลล์ เลือกที่จะพัฒนาร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์
“เดลี่ คาเฟ่ เปิดสาขาแรกในพื้นที่ปั๊มน้ำมันที่ร่มเกล้า เพื่อ
ทดลองตลาดก่อนเปิดตัวในปั๊มโมเดลใหม่และปีหน้าจะ
ขยายครบ 50 สาขา โดยเดลี่ คาเฟ่ ถือเป็นธุรกิจ Non-oil
ที่เชลล์ต้องการกลับเข้ามารุกธุรกิจอย่างจริงจัง หลังจาก
ไม่ได้ลงทุนอย่างจริงจังมานานหลายปี รวมถึงการนำ
พันธมิตรเข้ามาสร้างความแปลกใหม่ ทั้งร้านเบอร์เกอร์คิง
ร้านแฟมิลี่มาร์ทให้มากขึ้น
ปั๊มพีที เป็นแบรนด์ล่าสุดที่อยู่ระหว่างเตรียมการเข้ามารุก
นอนออยล์ ด้วยการสร้างแบรนดใหม่ขึ้นมา “Max Mart”
โดยจัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ 'ปิโตรเลียมไทยคอร์ปอเรชั่น'
เข้ามาดำเนินการปัจจุบันมี 40 สาขา สามารถสร้างยอด
ขายได้เฉลี่ย 17,000-18,000 บาทต่อวันต่อสาขา ทั้งนี้มี
เป้าหมายจะเพิ่มสาขาอีกกว่า 700 แห่ง ส่วนใหญ่จะอยู่
ในพื้นที่เกรด A
สนับสนุนโดย
นิตยสารแมกเก็ตติ้ง (Magketing)

สามารถดาวน์โหลดนิตยสารฉบับเต็ม...ฟรี...ได้ที่http://www.ebooks.in.th/ebook/39386/magketing_vol14/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น