เทรนด์ร้อนตลาดอีคอมเมิร์ซปี 2559




Priceza ผู้นำในด้านบริการเปรียบเทียบราคาสินค้าสำหรับ
นักช้อปในเมืองไทยและอีก 5 ประเทศทั่วภูมิภาคอาเซียน
เผย 5 เทรนด์ร้อนแรงที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาด
อีคอมเมิร์ซของไทยตลอดปี 2559 นี้ พร้อมแนะนำผู้ประกอบ
การให้เร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง

สำหรับเทรนด์หลักที่น่าสนใจทั้ง 5 ในวงการอีคอมเมิร์ซ
ปี 2559 มีดังต่อไปนี้

1. "Brand.com" – เมื่อแบรนด์เบนเข็ม เข้าหาลูกค้า
โดยตรง

ฐานผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่กว้างขวางขึ้นทุกวัน และแพลตฟอร์ม
โซเชียลมีเดียต่างๆ ที่แทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ประจำวันได้อย่างกลมกลืน ได้จุดประกายให้หลายแบรนด์
เลือกที่จะเดินหน้าเข้าหาลูกค้าโดยตรงผ่านทางช่องทางต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการก้าวข้ามตัวกลางในเชิงสื่อเพื่อโฆษณาสินค้า
หรือการเปิดช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้
โดยตรง

สำหรับผู้ประกอบการเอง ในฐานะที่มีบทบาทเข้าถึงผู้บริโภค
โดยตรงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ก็สามารถใช้ฐานข้อมูลลูกค้าใน
มือเพื่อสร้างหรือรักษาความได้เปรียบเอาไว้ เช่นการปรับ
แผนการตลาดให้สะท้อนถึงทิศทางพฤติกรรมในกลุ่มฐาน
ลูกค้าอย่างชัดเจนขึ้น หรือการเปิดช่องทางเพิ่มเติมเพื่อ
การสื่อสารและให้บริการกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังอาจเลือกใช้ความยืดหยุ่นที่สูง
กว่าในด้านการตั้งราคาสินค้ามาเป็นอาวุธในการแข่งขันก็
ได้เช่นกัน

2.สิ้นสุดเส้นแบ่งออฟไลน์-ออนไลน์
นอกจากแบรนด์เจ้าของสินค้าแล้ว อีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่หัน
มาใช้ช่องทางออนไลน์ในการขยายตลาดก็คือกลุ่ม
ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ในโลกออฟไลน์ เช่น
ห้างสรรพสินค้าเป็นต้น จากการเปรียบเทียบข้อมูลแล้ว
พบว่าเมืองไทยมีคนเข้าเว็บไซต์มากกว่าคนเดินห้างถึง
41 เท่า จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่จะ
ไม่พลาดโอกาสในการจับจองส่วนแบ่งตลาดในช่องทาง
ออนไลน์ไว้

แน่นอนว่าผู้เล่นรายใหญ่เหล่านี้จะมีข้อได้เปรียบเหนือกว่า
ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซทั่วไปในหลายด้าน ทั้งในแง่ของ
สินค้าที่มีให้เลือกซื้อ งบประมาณเชิงการตลาด และฐาน
ข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ
สามารถทำได้เพื่อรับมือกับเทรนด์นี้ก็คือการแสดงความเป็น
"ผู้รู้" ในตลาดหรือประเภทสินค้าที่ตนเองมุ่งเน้นและ
เชี่ยวชาญ แนะนำสินค้าที่เป็นประโยชน์หรือไฮไลท์คุณสมบัติ
ที่ผู้ใช้ตัวจริงเท่านั้นถึงจะทราบให้ผู้บริโภคได้รับรู้

ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดูมีบุคลิกที่แตกต่างจาก
ห้างสรรพสินค้าทั่วไป เปิดกว้างและเข้าถึงได้ง่าย จนเป็น
มากกว่าเพียงแค่ช่องทางการซื้อขายผลิตภัณฑ์เท่านั้น

3.ลบล้างทุกพรมแดนกับ "เส้นทางสายไหม 2.0"
หลังจากที่อินเตอร์เน็ตและโมบายบรอดแบนด์ได้ลบล้างข้อ
จำกัดในการเข้าถึงข้อมูลความรู้ลงไป คราวนี้ก็เป็นตาของ
ขอบเขตด้านการค้ากันบ้าง โดยเริ่มกันที่เรื่องของรูปแบบการ
ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันนี้ จากเงินทุกๆ 100 บาทที่คนไทยใช้จ่ายในแต่ละวัน
พบว่ามีเพียง 50 สตางค์เท่านั้นที่เป็นการใช้จ่ายบนช่องทาง
ออนไลน์ จริงอยู่ว่าตัวเลขนี้อาจจะฟังดูน้อยนิดเหลือเกิน

แต่มูลค่ารวมของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปัจจุบันก็ยังสูงถึง
4.2 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด
ในอนาคตอันใกล้ หากเราลองชายตามองไปยังประเทศที่พัฒนา
แล้ว ก็จะพบว่าตลาดอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่งอาจมีอัตราส่วนการ
ใช้จ่ายสูงถึง 10% จากยอดรวมทั้งหมด จึงอาจกล่าวได้ว่า
การซื้อขายสินค้าในโลกออนไลน์เป็นช่องทางที่ล้ำค่า ไม่ต่างจาก
เส้นทางสายไหมที่จุดประกายสร้างความรุ่งเรืองให้กับ
ประเทศจีนเมื่อหลายศตวรรษก่อน

ส่วนในแง่ของขอบเขตพรมแดนทางการค้า ตลาดอีคอมเมิร์ซ
ก็เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการทุกรายสามารถออกไปรุกตลาด
ต่างประเทศได้ง่ายขึ้น แต่ในทางกลับกัน ตลาดในบ้านเราก็ต้อง
รับมือกับการมาถึงของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซรายใหญ่
จำนวนมาก โดยเฉพาะยักษ์สัญชาติจีนอย่าง JD, Alibaba
หรือ Lightinthebox ที่หันมารุกตลาดอาเซียนกันอย่าง
พร้อมหน้าพร้อมตา

ปัจจุบัน ผู้ประกอบการชาวไทยหลายรายได้นำเทรนด์นี้มา
พลิกเป็นโอกาสด้วยการเปลี่ยนเว็บอีคอมเมิร์ซต่างชาติเหล่านี้
ให้กลายเป็นแหล่งซื้อหาสินค้าเข้ามาป้อนตลาดในเมืองไทย
ต่อไป จนเกิดเป็นชุมชนย่อมๆ ของนักช้อปที่โปรดปรานใน
สินค้านำเข้าราคาคุ้มค่าจากแหล่งเหล่านี้

4. ปั้นฐานลูกค้า ในยุค "คอนเทนต์" ครองเมือง
ในการเลือกซื้อสินค้าสักชิ้น คงไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่า
ข้อมูลของสินค้านั้นๆ ที่พบได้ ณ จุดขาย ดังนั้น ผู้ประกอบการ
อีคอมเมิร์ซจึงต้องปั้นแต่งเนื้อหาบนหน้าร้านให้น่าสนใจ
เพราะคอนเทนต์เหล่านี้มีบทบาทเป็นเหมือนกับพนักงานขาย
ในโลกดิจิตอลนั่นเอง

นอกเหนือจากเนื้อหาประเภทข้อความหรือโฆษณาทั่วไปแล้ว
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังสามารถสร้างความแตกต่างและเติมสีสัน
ให้กับประสบการณ์การช้อปของลูกค้า ผ่านทางรูปแบบการ
นำเสนอที่หลากหลายและโดนใจผู้บริโภค นับตั้งแต่เรื่องง่ายๆ
อย่างการเปิดบล็อกเพื่อแบ่งปันเนื้อหาสาระเกี่ยวกับสินค้า
บางประเภท บอกเล่าประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ที่น่า
สนใจและเป็นประโยชน์ หรือการถ่ายทำรีวิวสินค้าในรูปแบบ
วิดีโอ เป็นต้น

ส่วนการเพิ่มเติมคอนเทนต์เชิงกิจกรรมให้ลูกค้าสามารถโต้
ตอบกับธุรกิจของคุณได้ เช่นการเปิดรับรีวิวสินค้าจากผู้ใช้จริง
หรือลูกเล่นอย่างการทำโปรโมชั่นแบบเปิดโพลล์ให้เลือกสินค้า
ลดราคาชิ้นถัดไป ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยสานสัมพันธ์
ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี
        
5.ลูกค้าอยู่ที่ไหน ไปที่นั่น
หากเราหยุดมองว่าในหนึ่งวัน มีการรับข้อมูลข่าวสารจาก
ช่องทางใดบ้าง ก็คงจะต้องนับกันจนมือเป็นระวิง สำหรับ
ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ การนำสินค้าไปปรากฎอยู่บนช่องทาง
ต่างๆ ที่หวังผลได้ให้มากที่สุดก็เป็นอีกกลยุทธ์ในการสร้าง
รายได้และการเติบโต

โดยนอกจากเว็บไซต์หลักและหน้าร้านที่เป็นตลาดใหญ่แล้ว
ยังควรพิจารณาช่องทางโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์เปรียบ
เทียบราคา รวมถึงวิธีการสื่อสารที่แตกต่าง พร้อมดึง
เช่นการจัดดีลพิเศษที่แจ้งเตือนถึงมือลูกค้า เป็นต้น

              สนับสนุนโดย              
นิตยสารแมกเก็ตติ้ง (Magketing)

สามารถดาวน์โหลดนิตยสารฉบับเต็ม...ฟรี...ได้ที่http://www.ebooks.in.th/ebook/39386/magketing_vol14/

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม